Yahoo Answers is shutting down on May 4th, 2021 (Eastern Time) and beginning April 20th, 2021 (Eastern Time) the Yahoo Answers website will be in read-only mode. There will be no changes to other Yahoo properties or services, or your Yahoo account. You can find more information about the Yahoo Answers shutdown and how to download your data on this help page.

พ่อกับแม่นับถือต่างศาสนาลูกจะสับสนหรือเปล่า?

พ่อเป็นพุทธ แม่เป็นคริสต์ ลูกสาวเกิดมาผมตั้งใจแต่แรกว่าให้เค้าเหมือนแม่ เพราะลูกสาวคงใกล้ชิดแม่มากกว่าพ่อ ตอนนี้เค้าได้เข้าพิธีรับศีลล้างบาปไปแล้ว แต่ในใจลึกๆแล้วอยากให้เค้าไปทำบุญใส่บาตรไหว้พระกับพ่อบ้าง เหมือนที่พ่อเคยได้รับตอนเล็กๆ และอยากจะสอนคำสอนศาสนาพุทธให้กับลูกบ้าง ไม่รู้ว่าจะผิดหลักของศาสนาคริสต์หรือเปล่า ที่สำคัญลูกจะ งง สับสนหรือไม่ เพราะคริสต์จะสอนให้เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะจัดการทุกอย่างในชีวิตให้ดี แต่พุทธจะสอนให้หาเหตุของทุกข์และหาทางดับเหตุนั้นทุกข์ก็จะน้อยลง

อยากถามคนที่เคยมีประสบการณ์โดยตรง หรือท่านอื่นก็ได้ครับว่าควรจะสอนลูกน้อยอย่างไรดี โตขึ้นเค้าจะ งง หรือเปล่า

16 Answers

Rating
  • Favorite Answer

    มีเพื่อนหลายคนก็เป็นเช่นนี้ค่ะ แต่ไม่เห็นเพื่อนมีปัญหาอะไร เพราะลูก ๆ ก็นับถือตามแม่ทุกคน และเวลาเราจัดทัศนศึกษา หรือไปเที่ยวตามวัดต่าง ๆ เพื่อนก็ไปกับพวกเราทุกครั้ง ไปร่วมทำบุญด้วยกัน เพียงแต่จะไม่เข้าโบสถ์ไหว้พระเท่านั้นค่ะ

    เวลาพ่อเสีย เพื่อนก็จัดพิธีศพให้แบบพุทธทุกประการ พ่อของเพื่อนเป็นนายทหารค่ะ

    ม��เพื่อนอีกกลุ่มพ่อเป็นอิสลาม เพื่อนก็คบกันจนเหมือนกับเป็นพุทธคนหนึ่ง ต่อมาเมื่อแต่งงานกับไทยพุทธ ก็เลยมาทางพุทธพร้อมลูก ๆ ค่ะ

    คิดว่าศาสนาอะไรก็ตาม หากเราให้ความรู้ในทางที่ถูกต้องของแต่ละศาสนา เด็ก ๆ เมื่อโตขึ้นคงจะเลือกได้เองค่ะว่าจะนับถือศาสนาอะไร

  • ผมคิดว่าน่าจะให้โอกาสเด็กได้เป็นคนเลือกเอง โดยให้เขาได้เห็นทั้งสองทาง เขาจะเลือกทางใดปล่อยไปให้เป็นธรรมชาติของเขา

    ผมขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์ตรงครับ

    ผมกับภรรยาไม่มีลูก 2 ขา แต่เรามีลูกอุปถัมภ์ (ภาษาอังกฤษเรียก God-son) เด็กเป็นต่างชาติ ฝรั่ง

    คุณพ่อนับถือศาสนาทางตะวันตก คุณแม่ก็นับถืออีกศาสนา (ที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกันในอดีตกาล) ส่วนผมและภรรยานับถือพุทธ เรารักและเอ็นดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่ได้พบเขาครั้งแรก (อายุเพียง 1 เดือน) และจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆในชีวิตของเขาตลอด บอกสอนและหยิบยื่นในส่ิงที่เราเห็นว่าดีให้กับลูกอุปถัมภ์คนนี้

    เด็กคนนี้โชคดีครับที่พ่อแม่ซึ่งมีความแตกต่างอยู่แล้วไม่ปิดกั้น เขาพาลูกไปสัมผัสถึงศาสนาทั้ง 2 ของพ่อแม่ และยินดีให้ลูกได้มีโอกาสศึกษาศาสนาที่สาม (คือพุทธ) และปล่อยให้เด็กเป็นผู้เลือกเอง โดยไม่มีแรงกดดันหรือคาดหวังในตัวเด็ก ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีเลี้ยงที่ส่งเสริมสุขภาพจิต วุฒิภาวะในการตัดสินใจให้กับตนเองในเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตและจิตวิญญาณ และให้เสรีภาพในความคิดและการตัดสินใจแก่เด็กโดยเด็กได้รับความอบอุ่นและการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่รักและห่วงใย ไม่มีใครพยายามดึงใครครับ พ่อก็ไม่ดึง แม่ก็ไม่ดึง ผมและภรรยาก็ไม่ดึง

    เราเคยพาเด็กบินไปเที่ยวเมืองไทยกับเราด้วยหลายครั้ง และเคยพาเขาไปชุมชนวัดไทยที่ผมไปปคาร��ะ พาเขาไปนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าไม่นานมานี้ ช่วงวัน Thanksgiving ซึ่งนั่งทานข้าวกันหลายคน มีแขกคนหนึ่งถามเด็กคนนี้ว่า you นับถือศาสนาอะไร เด็กตอบว่า "พุทธ" เราทั้งสองตกใจ รีบระร่ำระลักว่า ไม่ต้องเกรงใจเรานะ และไม่ต้องคิดว่าเราคาดหวังหรือผิดหวัง (ผมและภรรยาเกรงใจคุณพ่อคุณแม่เขามากที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย) แต่เขายืนยันว่าเขารู้ว่าเขากำลังพูดอะไร ไม่มีใครบังคับหรือพย���ยามเปลี่ยนเขา แต่ทุกคนเปิดโอกาสให้เขาได้มองเห็นทุกๆทางเลือกของทีพึ่งพายึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ เขารู้สึกว่าเป็นเด็กที่ได้รับความรักความเมตตาจากผู้ใหญ่มาก และเขากลับไปศึกษาเพิ่มเติม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นพุทธอย่างเต็มปากเพราะเขาได้อ่านและศรัทธา ผมรู้สึกภูมิใจและอบอุ่นครับ มันไม่ใช่เพราะเขาเลือกมาทางผม แต่เพราะผมและภรรยา พ่อและแม่เขา รักและให้เกียรติเด็กคนนี้ในการรับผิดชอบตนเอง และเปิดโอกาสให้เขาได้เห็นทางเลือกหลายๆอย่าง ที่เด็กที่ขาดโอกาสอาจไม่ได้เห็นครับ

    ในอนาคต หากเด็กจะเปลี่ยนอีกครั้ง ผมก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะผมไม่ยึดเหนี่ยวกับตรงนั้น หวังว่าคำตอบของผมที่อาจจะยาวไปหน่อย พอจะช่วยชี้ทางให้คุณ Intercop ผู้เป็นพ่อได้ตัดสินใจว่าจะให้ความรักแก่ลูกอย่างไรได้นะครับ โชคดีครับ

  • 9 years ago

    คนหนึ่งคนสามารถพูดได้หลายภาษา คนหนึ่งคนสามารถนับถือได้หลายศาสนา

    เพราะทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี แต่สิ่งที่ปิดกั้นคือ "ใจ" ของคนเรานั่นเอง

    เด็กจะคลางแคลงสงสัยไปจนแก่ ถ้าผู้ใหญ่ที่ดูแลยังไม่เข้าใจหลักแห่งทางพ้นทุกข์

    คือจะไม่มีการยึดติดผู้หนึ่งผู้ใดเป็นการขวางกั้นสติ แต่จะฝึกฝนเรียนรู้เป็นแบบอย่าง

    หรืออาจทำบางสิ่งให้สอดคล้องกับผู้ที่เคยเดินทางไปได้สำเร็จแล้ว ด้วยปัญญาที่เข้าใจ

    ไม่ใช่แค่การเดินตามกันไปแบบยึดมั่นจนกระทำความดีด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ ถ้าคนจะงงก็

    คงต้อง งงจากความคิดของตัวเราเอง ที่มาแบ่งโน่นแบ่งนี้สับสนจนถ่ายทอดความเข้าใจ

    ไม่ตรงกับเจตนาต่อหลักคำสอนของทุกศาสนา ว่าทุกบทคำสอนที่แขวนไว้จนถึงวันนี้

    เป็นเพียงแนวทางของผู้บรรลุผลด้วยสติปัญญาของทุกๆ อริยบุคคล ล้วนมีเป้าหมายที่

    ไม่แตกต่าง นั่นคือจุดมุ่งหมายปลายทางแห่งการหวังพ้นทุกข์ทุกฝ่าย ไม่ว่าขณะนี้จิตเรา

    จะอยู่กับฝ่ายไหนก็ตาม ท้ายที่สุดตัวเราเองก็ยังแอบหวังเข้าสู่เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์

    เช่นนั้นมิใช่หรือ?

    คิดง่ายๆ วันนี้กินข้าวหอมมะลิกับต้มยำก็อิ่ม กินขนมปังกับสปาเกทตี้แบบฝรั่งก็อิ่ม

    กินข้าวปั้นปลาย่างแบบญี่ป่นก็อิ่ม กินกิมจิคลุกปลาแห้งหรือสาหร่ายคลุกกับข้าวก็อิ่ม

    กินข้าวต้มกับต้มจืดเต้าฮู้ผักกาดขาวแบบคนจีนก็อิ่ม มีกินอะไรที่ไม่อิ่มบ้าง?

    เมื่อต้องการทำดีแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก จงลงมือทำด้วยความเข้าใจ มัวคิดมากกับการทำดี

    วันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็ผ่านไปอีกวัน เมื่อไหร่จะได้ลงมือทำสักที?

    Source(s): บุญคุ้มหัว
  • on-ces
    Lv 5
    9 years ago

    จิตแพทย์แนะนำว่าเวลาอธิบายเรื่องที่สังคมส่วนใหญ่มองว่าน่าอึดอัดใจให้พ่อแม่อธิบายดีๆค่ะ

    เช่น อย่าไปเล่นกับเขานะลูก เพราะเขารวยกว่าเรา เขาจะดูถูกเราได้

    ควรจะเปลี่ยนเป็น พ่อไม่มีเงินซื้อของเล่นอันนี้ ทำไมไม่ลองขอเพื่อนเล่นดูดีๆล่ะ

    ถ้าลูกขอดีๆ เพื่อนก็คงให้เล่นบ้างนะ

    ถ้าแนะนำแบบหลังลูกจะโตขึ้นมาแบบเข้าใจความแตกต่างระหว่างฐานะ

    และไม่อิจฉาริษยาที่ตัวเองไม่มีของเล่นแบบคนรวย กลายเป็นเด็กสุขภาพจิตดีคนหนึ่งค่ะ

    ในกรณีเรื่องศาสนาแตกต่างกันนั้น หลักการนี้ก็ใช้ได้เหมือนกันค่ะ

    คือ ควรอธิบายถึงความเหมือนและความต่างระหว่างศาสนา

    เช่น ทั้งสองศาสนาสอนให้คนรักและเมตตาเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน

    ให้หลีกห่างจากความเบียดเบียนคนอื่น

    และสิ่งที่ต่างนั้นก็อธิบายโดยดี ไม่ใช่เป็นการยกตนข่มท่านนะคะ

    ส่วนที่คุณนั้นทราบเกี่ยวกับศาสนาพุทธนั้นคือ สอนเรื่องกรรม ใครทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น

    ไม่มีเรื่องบันเอิญ มีแต่เหตุทำมาปางก่อน ส่งผลให้เกิดเป็นแบบนี้เจอสภาพแวดล้อมแบบนี้

    และศาสนาพุทธยังสอนว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เราอาจเผลอใจทำบาปจนลงอบายได้สักชาติ

    พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องการออกจากวังวนของสารวัฎไว้ด้วยค่ะ ^_^

    (สนใจเพิ่มเติมอ่านในประวัติโปรไฟล์ของเราค่ะ)

    ถ้าคุณไม่ทราบว่าศาสนาคริสต์สอนอะไรบ้าง ตรงนี้ก็ควรแนะนำให้ลูกไปถามแม่ค่ะ

    แต่สุดท้ายแล้วถ้าจะให้ครบสูตรเรื่องการยอมรับความแตกต่างระหว่างศาสนาได้นั้น

    โตขึ้นแล้วให้เขาตัดสินใจเอาเอง ว่าจะเลือกรับนับถือศาสนาไหน

    จะถือว่าเคารพการตัดสินใจของเขามากที่สุดค่ะ

    พ่อแม่นั้นสอนลูกอย่างเดียวไม่ได้ผล แต่ว่าต้องทำให้ดูกันทั้งชีวิตเลยค่ะ

    ขอแสดงความยินดีกับลูกของคุณล่วงหน้านะคะ ^_^

  • How do you think about the answers? You can sign in to vote the answer.
  • Anonymous
    9 years ago

    ให้เขาไปดูทั้งสองศาสนา พอโตขึ้นแล้วเขาจะเลือกเองว่าจะเข้านับถือศาสนาอะไร ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นครับ

    Source(s): SB
  • aoa
    Lv 6
    9 years ago

    ก็เอาไปสักทางครับศาสนาทุกศาสนาก็มีหลักการของเขาที่จะสอนให้คนเป็นคนดีสุดท้ายพอเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เขาจะเป็นคนเลือกเองว่าจะไปทางใด

  • 9 years ago

    ทุกศาสนาก็สอนให้ทำดีทั้งนั้น อย่ากังวลไปเลย เราเป็นพ่อเขานะ และเขาก็เป็นลูกเรา ทำไมจึงสอนลูกไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาที่ต่างกัน ให้เขาตัดสินใจเอาเองเพราะตัวเราทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เอง เราเองต้องยอมรับมันให้ได้ ครับ

  • Anonymous
    9 years ago

    ควรจะไห้ลูกไปทั้งสองศาสนาลูกจะรู้ว่าแต่ละศาสนา

    แตกต่างกันอย่างไรจากประสบการณ์

    ทางศาสนาพุทธเปิดกว้างทุกศาสนาไห้ไปศึกษาได้

    โชคชะตาเวณกรรมลิขิต แต่ชีวิตเราเป็นคนกำหนด

  • Anonymous
    9 years ago

    ไม่สับสนค่ะ ก็ไหว้ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งพระเยซู นั่นหละค่ะ

  • ไม่หรอกครับ แล้วแต่ เรา ดีเสียอีก เขาจะได้รู้จักคำสอนทั้ง สองสาม สี่ ศาสนา เอามาเปรียบเทียบกัน

    แต่ สัปหงก เพลินดี สายกลาง สายกลาง ...

    http://www.youtube.com/watch?v=PhQWHz_dmz4

Still have questions? Get your answers by asking now.