ผู้ชายสมัยก่อนด่าผู้หญิงแรงๆเหมือนสมัยนี้มั้ยคะ?

ตามความเห็นส่วนตัวของผม ผู้ชายด่าผู้หญิงแรงๆ และผู้หญิงด่าผู้ชายแรงๆนั้น คงมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย และในสังคม ทุกระดับครับ เพราะว่า มนุษย์ทุกคนก็มีอารมณ์ บางคนก็มีอารมณ์รุนแรงกว่าคนอื่นในสังคมนั้นๆ ทุกคนก็มีถ้อยคำและวาจาที่ได้ยินได้เรียนมาจากสิ่งแวดล้อมที่เขาโตขึ้นมานั้น และเมื่อเขาถูกใครล่วงละเมิด หลู่เกียรติ ดูถูก คุกคาม ใส่ร้าย หรือทำให้เกิดความไม่พึงพอใจ จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็คงได้เห็นกันตอนนั้น ว่าเขาจะตอบโต้กันอย่างไร

บางคนก็ใช้คำหยาบคาย ต่ำช้า บางคนก็โผงผาง บางคนก็ดุเดือด คุกคามผู้อื่น คิดว่าจะได้ผลดี แต่ก็ไม่เสมอไป

ผู้ที่มีความคิด มีสติปัญญา มีวุฒิ ย่อมใช้วิธีอื่นได้ ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแรงตอบ แต่ใช้ความคิด ตรึกตรองดูว่า จะโต้ตอบหรือแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล มีเหตุผล ชวนคิด น่าฟัง ก็คงได้ผลดี ไม่ด้อยไปกว่าวิธีที่อยู่ภายใต้อิทธิพล และความครอบงำของ "อารมณ์" ที่กำลังปะทุอยู่ ครับผม

เรื่องผู้หญิงด่าผู้ชาย ชายด่าหญิง หญิงด่าหญิง ชายด่าชาย ก็คงมีมาทุกยุคทุกสมัยแหละค่ะ สำนวนภาษาคำด่าก็ขึ้นอยู่กับระดับของคนด่า ว่ามีการศึกษาแค่ไหน พื้นเพชาติตระกูลเป็นอย่างไร อยู่ในสังคมแบบไหน และที่สำคัญอีกข้อคือโกรธแค่ไหนด้วย

คำด่าก็บอกระดับบอกตัวตนของคนด่าได้เหมือนกันนะคะ คนบางคนจะเป็นแต่ด่าแบบภาษาตลาด หรือขุดคำพูดต่ำ ๆ หรือเอาสัตว์มาด่าคน ฟังแล้วไม่ต้องคิดก็รู้ว่าด่า แต่บางคนด่าก็ด่าให้คิด บางทีต้องนั่งคิดนานถึงจะรู้ว่าแสบมาก ตัวอย่างคำด่าโบราณที่ใช้ด่าผู้หญิง เช่น อีสำโรง อีสำเพ็ง และที่แสบสุดคือ อีลังถึง (คำแปลลองเดาดูนะคะ) อันนี้คือด่าให้คิด แต่คำด่ามัยก่อนที่ไมต้องคิด บอกมิได้ค่ะ แรงเกิ๊น...

ลองอ่านขุนช้างขุนแผนตอนนางวันทองด่ากับนางลาวทองสิคะ ด่ากันเพราะเชียว แต่โอ้โฮ แรงมาก

(เดี๋ยวเอาไปให้อ่านนะ)

คำด่า ยิ่งด่าใช้คำแรง คำต่ำเท่าไหร่ ยิ่งขุดลึก คนด่าก็ยิ่งตกต่ำลงไปเท่านั้น

สมัยก่อน การศึกษายังต่ำมาก และสังคมอยู่ในวงจำกัด

ดังนั้นการด่ากันจึงรุนแรงและมีคำที่หยาบคายมากกว่านี้

หลายเท่าตัว ถ้าคุณHideko ได้ฟัง คงสลบไป 7 วัน

แล้วรออีกหลายวัน กว่าจะฟื้นคืนสติมาได้ และจะฝังใจ

ไปจนวันตาย (ซึ่งฝังอยู่ในความทรงจำของผมมาจนทุกวันนี้)

ยิ่งคำว่า"ผู้หญิงดอกทอง" ยิ่งใช้เป็นคำด่ากันมากในสมัยโบราณ

เพราะหมายถึงผู้หญิงหาเงิน ผู้หญิงหาเงินสมัยโบราณ จะนุ่ง

ผ้าถุง (ผ้าซิ่น) แล้วมีลวดลายเป็นดอกสีทองที่ชายผ้า ดังนั้น

ใครนุ่งผ้าแบบนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้หญิงดอกทอง คือหาเงิน

การที่คนด่ากัน แล้วใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย

นั่นแสดงออกถึงต้นตระกูลของผู้นั้น ว่าได้รับการอบรมบ่มนิสัย

มาจากวงศาคณาญาติอย่างไร ดั่งสำนวนที่ว่า "สำเนียงส่อภาษา

กิริยาส่อตระกูล" แม้ในสังคมปัจจุบัน สำนวนนี้ก็ยังนำมาใช้ได้

เป็นอย่างดี คนพูดออกมา เราฟังสำเนียงแล้ว จะรู้ทันทีว่าเป็น

ภาษาอะไร หรืออยู่ภาคไหน กิริยาที่แสดงออกของแต่ละคน

เราก็สังเกต แล้วจะรู้ว่า คนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างไร

.

สมัยก่อนเป็นยังไงก็คงไม่รู้ แค่คิดว่าคงไม่น่าจะว่าแรงนักหนาหรอก แต่ค่าความแรงของช่วงสมัยระหว่างอดีตกับปัจจุบันตีค่าดั่งราคาทองคำคงไม่ได้ดอก สมัยก่อนแค่ชายว่าหญิงนิดหน่อยก็คงแรงแล้ว อยู่ที่หญิงไปทำผิดอะไรมาถึงโดนว่า ในส่วนตัวจบจากที่เรียนมาก็โดนสอนว่า ถ้าทะเลาะกับหญิงก็ให้เดินหนีซ่ะ มัวทะเลาะด้วยก็มีแต่เสียกับตัวเอง เลยไม่เคยไปด่าหญิงไหนเลย แค่หญิงที่บ้านก็ต้องเดินหนีวันละ3รอบหลังอาหารอยู่แล้ว ถ้ามัวไปทะเลาะกับหญิงอื่นอีกก็คงไม่ได้กินข้าวกัน เป็นผู้ชายก็ต้องอดทน เจอผู้หญิงด่าก็ให้คิดว่าผู้หญิงรัก รักมากก็เดินหนี อย่าไปด่าตอบเดี๋ยวจะไม่ได้เป็นผู้ชายอีก

สมัยก่อน ผู้หญิงมีฐานะทางสังคมด้อยกว่าผู้ขายมาก

คำด่าจากเพศตรงข้ามน่าจะแรงกว่าสมัยนี้

จะยุคสมัยไหนๆคิดว่าถ้าจะด่าว่ากันล่ะก็แรงทุกยุคแระจ้าทั้งแสบทั้งคัน เช่นคนยุดก่อนจะด่าว่าหญิงหลายใจว่า โมลา กากี วันทอง ช๊อคกาลี อีแรด เป็นยุคนี้ก็จะด่าว่า อีเรยา อีสวิงกิ้ง ฯลฯ เป็นต้น ก็อยู่ที่คนด่าด้วยว่ามันปากจัดขนาดไหน อิ อิ

ผู้ชายสมัยไหนก็ไม่แตกต่าง อยู่ที่ว่าใครจะมีจิตใต้สำนึกผิดชอบชั่วดีมากกว่ากัน

เข้าข่ายผู้ชายปากหมานมังคะ เพราะไม่สมกะชายชาตรี ด่าเพศแม่ได้ไง,

เคยได้ยินเขาว่า (ผู้ชายที่)ทะเลาะกั��ผู้หญิง แล้ว"ซวย"คะ ไงๆๆก็เสียเปรียบวันยังค่ำ(ถึงเช้าเลยแหละ),

ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้ต้องเอาที่อยู่ใน"ปาก"ไปฉีดยาป้องกันเป็นว้อบ้างเจ้า.

โลกาภิวัฒน์ ยุค 3G ยังมีด่า

ไฉนเล่าโบราณเก่าจึงไม่มี

แล้วแต่โอกาส และจังหวะ แต่คนที่ด่า หรือ คนที่กล่าวคำหยาบ แสดงว่าเขาสิ้นคำพูดที่จะพูดแล้ว