Yahoo Answers is shutting down on May 4th, 2021 (Eastern Time) and beginning April 20th, 2021 (Eastern Time) the Yahoo Answers website will be in read-only mode. There will be no changes to other Yahoo properties or services, or your Yahoo account. You can find more information about the Yahoo Answers shutdown and how to download your data on this help page.

นักวิชาการต่างชาติมองว่า "การศึกษาของไทยมีปัญหาเพราะคนไทยสังเคราะห์ข้อมูลไม่เป็น " คุณคิดอย่างไรกับคำถามนี้?

เมื่อวังวนของการเมืองและการศึกษาเป็นเรื่องเดียวกัน ผมได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนหลายเชื้อชาติ เกี่ยวกับสถานะการณ์การเมืองในบ้านเรา เพื่อนๆต่างชาติผมแสดงความคิดเห็นกันว่า

" คนไทยนั้นไม่ได้ถูกสอนให้ตั้งคำถาม ว่าสิ่งที่เรารับรู้มานั้นจริงหรือไม่ และไม่ได้ถูกสอนวิธีรับมือ ประเมินและจัดการข้อมูล /ความร้ ที่ได้มา โดยส่วนใหญ่แล้ว คนไทยจะเชื่อถือข้อมูลชุดแรกๆ ที่ได้รับฟังมาเป็นเกณฑ์ และใช้ความรู้ชุดแรกๆนั้น มาเป็นตัวประเมินข้อมูลชุดอื่นที่เข้ามาภายหลัง โดยไม่ ค่อยได้ตั้งคำถามกับข้อมูลชุดแรกที่ได้มาว่าถูกหรือผิด จริงหรือเท็จ เชื่อถือได้มากหรือน้อยแค่ไหน คำพูดใครควรน่าเชื่อถือ

ใครไม่ควรน่าเชื่อถือ "

โดยกลุ่มเพื่อนผมได้ตั้งข้อสังเกตกันไว้ดังนี้

1.คนจำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะที่เป็น Hard Core ของสีต่างๆ) เมื่อฟังข้อมูลต่างๆมาจากแกนนำสีนั้นบนเวทีปราศรัย

ถ้าฟังดูมีเหตุมีผลก็จะเชื่อทันที และหากแกนนำให้แนวทางในการตอบโต้ข้อถกเถียงของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็จะเชื่อแกนนำอย่างมาก (เช่น การใช้วาทกรรม …เทียม , อีกฝ่ายสร้างสถานการณ์ , เรายกคนจำนวนมาก (นับพัน) ไปชุมนุมที่สถานที่ นั้นไม่ผิด เพราะเค้าปิดทำการของเขาเอง เราไปเฉยๆ เป็นต้น) และจะใช้เหตุผลชุดนี้ในการตอบโต้ฝั่งตรงข้าม

2.หลายๆคน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการเมืองสังคมไปในทันที (โดยไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาในด้านนั้นๆ หรือเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ มาก่อน ) เมื่อเริ่มด่าฝ่ายตรงข้าม หรือเชิดชูฝ่ายตนเอง เช่น รัฐบาลกู้เศรษฐกิจชาติให้พ้นจาก IMF, เพราะพวกอำมาตย์มันทำให้ประเทศเราไม่เจริญ เป็นต้น

3.เมื่อรับข้อมูลมาแล้วมักมีอารมณ์ร่วมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะถ้าเป็นประเด็นที่ Sensitive เกี่ยวกับสถาบันฯ หรือข้อมูลเหล่านั้นเจือปนด้วยอารมณ์รุนแรง หยาบคาย เช่น ข้อมูลที่รับมาจากเวทีปราศรัย จนอารมณ์พวกนั้นบดบังความจริงอื่นๆไปหมด จนนำไปสู่การการชุมนุมประท้วงที่เน้นความรุนแรง ขาดการใช้ซึ่งเหตุและผลในการพูดคุย

ซึ่งกลุ่มเพื่อนๆ ผมเชื่อว่า 3 ประการหลักขั้นต้นน่าจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้การทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆในสังคมเป็นไปได้ยาก และขยายขอบเขตปัญหาไปสู่วงกว้าง และนำไปสู่ความรุนแรงได้ง่ายๆ

ดังข่าวที่ปรากฎให้เห็นทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกออนไลน์

ซึ่งทำให้น่าคิดต่อไปว่า " ระบบการศึกษาของบ้านเรามีปัญหาจริงๆ อย่างที่เขาว่า " เพราะจากที่สังเกตข้อมูลในอดีตที่ผ่านๆ มานั้น พอสรุปได้ดังนี้คือ

1.การศึกษาของไทยนั้นสอนให้คนเรียนความรู้ที่มีอยู่แล้วให้มากที่สุด โดยไม่ตั้งคำถามกับมันเท่าไหร่ ยิ่งจำมากก็ยิ่งดี ทำข้อสอบได้คะแนนดี เกรดดี การตั้งคำถามกับอาจารย์ผู้สอนมักไม่ได้คำตอบและถูกเบรค ด้วยเหตุผลที่ง่ายๆ คือ " คำถามนั้นไม่เกี่ยวกับบทเรียน " ( หรืออาจารย์เองก็ตอบไม่ได้เลยตัดบท )

2. การศึกษาของไทยนั้นสอนให้ความรู้คนเพื่อออกไปทำงานหาเงินเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความรู้คน เพื่อออกไปเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ดังนั้น "จิตสำนึกต่อสาธารณะจึงไม่เกิด "การกระทำที่แสดงออกของคนส่วนใหญ่จึงเ���็นการกระหน่ำซ้ำเติมหรือผลักภาระให้กับสังคม เช่น นายทุนเอาเปรียบชาวนาทรัพยากรของประเทศในด้านต่างๆ ถูกสูบเข้าสู่เมืองหลวง ทำให้ความเจริญและความแออัดรวมทั้งปัญหาด้านต่างๆ ไปกระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง โดยส่วนภูมิภาคเป็นผู้เสียประโยชน์

3.การศึกษาของไทยนั้นไม่ได้สอนให้คนรู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ไปฝากเรื่องนี้ไว้กับศาสนา ซึ่งศาสนาเองก็เข้าถึงคนได้ลำบาก ทำให้คนยิ่งเรียนสูงแต่ยิ่งโง่ เช่น เรียนจบปริญญาเอกแต่แก้ปัญหาไม่ได้ก็ใช้วิธีฆ่าตัวตาย เพื่อหนีปัญหา

โดยสรุปแล้วผมไม่อยากยอมรับข้อกล่าวหาของเพื่อนๆ ผมที่ว่า "การศึกษาของไทยมีปัญหาเพราะคนไทยสังเคราะห์ข้อมูลไม่เป็น " เพียง แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถหาเหตุผล ข้อใดมาหักล้างข้อสังเกตดงกล่าวได้

จึงอยากแชร์ความรู้กับเพื่อนๆในนี้ครับว่า ช่วยหาเหตุผลและคำอธิบายหักล้างข้อสังเกตดังกล่าวให้ผมด้วย

5 Answers

Rating
  • 1 decade ago
    Favorite Answer

    คือทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยน่ะ กับเพื่อนต่างชาติของคุณคิดดี

    ประเทศของเรามีคนไร้การศึกษา จึงวิเคราะห์ไม่เป็น หรือไม่รู้ว่า"วิเคราะห์" มันคืออะไร

    และเราก็มีคนที่ศึกษามาสูง จบระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยดีที่สุดในประเทศไทย

    หรือจบจากมหาวิทยาลัยดี เป็นอันดับต้นๆของโลก ด้วยทุนของในหลวง

    แต่เขาก็วิเคราะห์เพียงเพื่อประโยชน์ของเขาเอง

    ไม่ใส่ใจต่อสังคม ต่อมวลชน และต่อชาติที่เขาอาศัยอยู่ ที่เอื้อเฟื้อ

    ให้เขามีการศึกษาสูงมากกว่าคนหลายๆสิบล้านในประเทศ

    ...เขาไปยอมเป็นสมุนรับใช้ตระกูลหนึ่งซึ่งโลภ

    ต้องการเป็นเจ้าของแผ่นดินไทย

    มันจึงอยู่ที่สันดาน อยู่ที่ความโลภ อยู่ที่ความมักใหญ่ใฝ่สูงหวังในอำนาจของคน คนนั้นด้วย

    ..คนที่มีการศึกษาสูง เมื่อเขาใช้ปัญญาความรู้��องเขาในทางที่ผิด

    คนที่วิเคราะห์ไม่เป็นจึงตกเป็นเหยื่อ..

    จึงเข้าล็อค ตามคำพูดของชา่วต่างชาติ เรื่องการศึกษาของไทย

    แต่เราจะยอมรับกันหรือ ว่าแท้จริงแล้ว

    พ่อแม่ชอบสอนลูกให้เอาเปรียบคนอื่น สอนให้เชิดชูคนโกง ถ้าคนนั้นโกงแล้วปัดเศษๆมาให้บ้าง

    พ่อแม่ของคนพวกนี้ ไม่เคยสอนลูกให้มี ให้รู้จักคุณธรรม

    แต่โชคดีนะ

    เมืองไทยยังมีพ่อแม่ ที่สอนลูกเรื่องคุณธรรม

    มากกว่าพ่อแม่ที่สอนลูกให้เอาใจไปฝักใฝ่กับคนปากมอม

  • 1 decade ago

    แต่ผมคิดว่าไม่ได้มีแต่ประเทศเราประเทศเดียว หรอกครับ อาการดังที่คุณว่าๆมา

    ที่ผมดูทั้งจากรอบๆโลกเรา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน( เผลอๆถ้ารักษาไม่ทัน อาจถึงอนาคตด้วยอีก)

    อาการดังว่านี้เป็นทุกเชื้อชาติ ศาสนา และ ทุกระดับการศึกษาด้วยครับ

    เพียงแต่ถ้าคนเรียนสูงหน่อย อาการหลอน มันจะซับซ้อน

    อาจต้องสะกดจิตตัวเอง สะกดจิตคนอื่น (หาแนวร่วมหลอนหมู่)

    หรือ มีเหตุผล ข้อมูลหลักวืชาการหลักฐานอันซับซ้อน กล่อมประสาท

    ผิดกับพวกอิมเพรสชั่นนิส ที่อ่อนไหว โรแมนติค ถ้าตั้งไฟได้ที่ สาดน้ำมันลงไป

    ยังไม่ต้องใส่เนื้อ หรือผักบุ้ง ลุกติดไฟพรึบเลยครับ

    กระหายอยากเป็นวีรบุรุษขึ้นมาทันที

    แต่ผมคิดว่าที่เพื่อนคุณว่ามาก็อาจจะถูก

    แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด

    เพราะเป็นเพียง ทรรศนะ และ แนวคิด

    ที่มาจากสังคม หรือวัฒนธรรม ที่แตกต่างจากเราออกไปบ้าง

    ขอรับไว้พิจารณาก่อนครับ

  • Anonymous
    1 decade ago

    ตอบสั้นๆครับว่าการศึกษาไทยนั้นเน้นให้เด็กคิด

    แต่ไม่บอกว่าวิธีการคิดนั้นต้องทำอย่างไร

    เด็กก็เลยนั่งเทียนคิดเอาเองว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้

    สมัยก่อนก็พยายามแก้ไขการศึกษาให้เป็น "Child Center"

    ทำไปทำมากลายพันธ์เป็น "ความเซ็นเตอร์" ซะอย่างงั้น

    ซึ่งน่าจะผิดพลาดตรงที่ผู้สอนไม่ได้ยึดประโยชน์ของเด็กเป็นเกณฑ์

    แต่มองตรงที่เงินของเด็กมากกว่า

  • 1 decade ago

    ผมว่า...ผมไม่มีความคิดแบบนี้เลยก็ว่าได้ ....ผมว่ามีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้ระบบความคิดมันถูกชักจูงไปในทางลบ โดยเฉพาะคนที่ด้อยการศึกษาบ้านเรายังมีอีกมากมาย ถ้าคนส่วนใหญ่มีการศึกษา...ผมว่า แค่ตรงนี้มันก็ช่วยพัฒนาระบบพื้นฐานหลายๆอย่างให้มันดีขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของเวลา ...เวลาจะช่วยให้มนุษย์มีการพัฒนาเดินหน้าไปตามความเป็นจริง นั่นก็คือความเจริญ ไม่มีบ้านเมืองไหนที่ไม่พัฒนา ไม่มีแน่นอน...แต่อาจจะต้องบอกว่า เวลาเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นจริง ...จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยรวม ที่มีผลเกี่ยวข้องโดยหลัก...ไม่มีทางที่หางหรือลำตัวจะเป็นส่วนหน้าแน่นอน...แต่ถ้าส่วนหัวพยาม วกลงกับสิ่งที่ตัวเองปราถนาโดยไม่คำนึงถึงส่วนหลัก หรือหัวไร้ซึ่งความสามารถ.....คุณคิดว่าส่วนหางหรือส่วนที่นั่งทำตาละห้อย จะไปได้ไหม ...ไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างจากความเป็นจริงเลยบนพื้นฐาน...คนที่มีส่วนในแรงผลักดัน ให้ระบบความคิดที่คนทั่วๆไปหรือนักเรียนที่เพื่อนต่างชาติคุณกล่าวว่ามานั้น.........เป็นไปได้หรือที่ส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาประเทศของเขานักเรียนของเขา จะสมบูรณ์แบบอย่างที่เขาคิดว่า....นักเรียนบ้านเราเป็นแบบนั้นแบบนี้.....ผมว่าคนที่มีสติเขาไม่พูดกันหลอกครับ ก่อนที่จะฉลาดได้หรือเก่งได้ ผมไม่เชื่อหลอกว่าคนๆนั้นไม่เคยโง่มาก่อน...หรือเขาอาจจะโชคดีที่มีคนรุ่นเก่าของเขาได้แก้ไขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนล่วงหน้าแล้ว หรืออาจจะก่อนที่เขาจะเริ่มออกมาสูดอากาศ ก็เป็นไปได้ครับ สุดท้ายมันต้องดีขึ้น ก็แค่อาจจะต้องใช้เวลาล้างระบบปหรือสิ่งฎิกà��¹à¸¥à¹€à¸à¹ˆà¸²à¹†à¸­à¸­à¸à¹„ป ที่ไม่ยอมคิดจะเปลี่ยนแปลงตามสังคมโลกแห่งความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นดั่งทุกวันนี้ก็ว่าได้....คนที่มีจิตวิทยาในการพูด หลายๆครั้งก็ทำให้คนที่บริสุทธิ์เดินหลงทางก็มีให้เห็นไม่น้อย ไม่ใช่หรือ...อิอิ....

  • How do you think about the answers? You can sign in to vote the answer.
  • Anonymous
    1 decade ago

    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ! แล้วก็เห็นด้วยมานานแล้วด้วย

    และนี่แหละ เป็นสาเหตุให้ Sealer ต้องเนรเทศตัวเองออกมาจากระบบราชการนี่ไงคะ

    Sealer คิดว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ ความรู้ที่สามารถนำมาเป็นแนวคิดทฤษฎีที่สามารถอธิบายเป็นเหตุเป็นผลต่อสิ่งต่างๆ ที่พบที่เห็นในชีวิตประจำวัน

    คนไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมตนเองจึงทำสิ่งนี้ ไม่ทำสิ่งนี้ คนไทยส่วนใหญ่จะเคยชิน และถูกสั่งสอนมาให้จดจำ และต้องฝังใจอยู่แต่สิ่งที่บรรพบุรุษกำหนดไว้เท่านั้น โดยเมื่อถามว่า เพราะเหตุใด คำตอบที่เคยชินก็คือ ไม่รู้ หรือ ...สั่งมา / สอนมาอย่างนี้ ห้ามแหกกฎ! เราจึงพบกันมาแต่เด็กๆ ว่าเมื่อเจอข้อสอบชนิดคำถามปลายเปิด เพื่อให้อธิบาย หรือแสดงความคิดเห็น ก็จะได้รับคำตอบที่เป็นช่องว่างกลับไป แต่เมื่อพบใครคนใดคนหนึ่ง แสดงความเห็น หรืออธิบายออกมาซะยาวยืด ก็จะถูกเพ่งเล็ง หรือหมายหัวไว้ว่าเป็น "เด็กหัวแข็ง" ทำให้ไม่มีความสุขในการเรียน และการทำงานในชีวิตประจำวัน

    Sealer อยากถามว่า ประเทศไทยจะมีโอกาสออกจากกะลาที่ครอบอยู่นี่มั๊ย ทำไมจะต้องปิดกั้นความคิดของคนที่เค้า Create ได้

    Sealer เสียดายงบประมาณของประเทศที่สูญเสียไปกับการศึกษาในระดับสูงๆ ของนักศึกษาในระดับต่างๆ ของประเทศ ทั้งปริญญาโท ปริญญาเอก และการศึกษาเฉพาะทางในระดับสูงต่างๆ อยากให้ผู้มีอำนาจที่มีความคิดสักคน ลองสำรวจดูสักหน่อย ว่ามีความคุ้มค่าจากการใช้ทรัพยากรบุคคลเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

    เพราะเท่าที่ Sealer ได้พบกับตัวเอง เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของหลักสูตรแต่ละหลักสูตร จะระบุว่าเพื่อผลิตบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการนำความรู้ที่ได้ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ในหน่วยงานต่างๆ แต่สิ่งที่ีพบก็คือ บัณฑิตที่จบไปแต่ละรุ่น แต่ละหลักสูตร มีไม่ถึงหนึ่งในสี่ที่สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้ และพัฒนางานเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ในงาน

    ปัญหาของประเทศไทยเกี่ยวกับระบบการศึกษาในตอนนี้ก็คือ

    "คนมีความรู้ไม่มีโอกาสทำงาน และ คนที่ทำงานทุกวันนี้ ไม่มีความรู้"

    เชื่อหรือเปล่า...ถ้าไม่เชื่อ ลองทดสอบดูก็ได้ค่ะ

Still have questions? Get your answers by asking now.