Yahoo Answers is shutting down on May 4th, 2021 (Eastern Time) and beginning April 20th, 2021 (Eastern Time) the Yahoo Answers website will be in read-only mode. There will be no changes to other Yahoo properties or services, or your Yahoo account. You can find more information about the Yahoo Answers shutdown and how to download your data on this help page.

สมาธิใดเป็นสมุทัย หรือ อุปาทาน?

“ถ้าพียงสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ทำให้ได้ปัญญา และถ้าไปติดในสมาธิ เช่น ติดในฌาน ติดในอัปปนาสมาธิ สมาธินี้ก็จะกลายเป็นสมุทัย คือเป็นตัณหา เป็นอุปาทาน ไม่เป็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และแม้ว่าจะได้อัปปนาสมาธิ ได้ฌาน และเจริญอิทธิบาทเพื่อให้เกิดอำนาจจิตต่างๆดังที่เรียกว่า เป็นอิทธิ คือเป็นฤทธิ์ต่างๆ เป็นหูทิพย์เป็นตาทิพย์เป็นต้น แต่ว่าถ้ำไปติดในอิทธิหรือฤทธิ์ดังกล่าวนี้ ก็จะกลายเป็นสมุทัย เป็นตัณหา เป็นอุปาทานไปอีกเช่นเดียวกัน ไม่นำไปสู่ความสิ้นทุกข์โดยชอบ เพราะสมาธิดังกล่าวนี้ก็จะไม่เป็นมรรคอันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ฉะนั้น แม้ได้สมาธิอย่างสูงเป็นอัปปนา หรือเป็นฌานชั้นใ��ก็ตาม เมื่อจะปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความสิ้นทุกข์ เป็นวิมุตติเป็นมรรคเป็นผลต่อไป ก็จำต้องน้อมจิตที่เป็นสมาธิ คือ ที่สงบตั้งมั่นนี้มาพิจารณาสภาวธรรมโดยสามัญลักษณะ........

อีกอย่างหนึ่ง เพ่งลักษณะ ก็คือเพ่งไตรลักษณ์นั้นเอง การเพ่งลักษณะดั่งนี้เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน ความเข้าไปเพ่งลักษณะคือเพ่งไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้น แม้การหัดทำสมาธิจะได้สมาธิเป็นขณิก หรืออุปจารหรือถึงแม้อัปปนาก็ตาม เมื่อได้สมาธิแล้วก็เป็นการหัดจิตให้สามารถเพ่งพินิจได้เป็นอย่างดี มีพละคือพลัง กำลังในการเพ่งพินิจ ยิ่งได้อัปปนาสมาธิก็ยิ่งได้พลังในการเพ่งพินิจได้มาก เพราะฉะนั้นก็ใช้พลังของสมาธิ คือความเพ่งพินิจนี้มาเพ่งลักษณะคือไตรลักษณ์ และเมื่อเป็นดั่งนี้ ไตรลักษณ์ก็ปรากฏได้ง่าย และเห็นอนิจจา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความเป็นอนัตตาของสภาวธรรมทั้งหลายได้โดยง่าย

เมื่อได้สมาธิชั้นใดชั้นหนึ่งก็ตาม อันจัดเข้าเป็นอารัมมณูปนิชฌาน ก็ให้มาหัดเพ่งพินิจสภาวธรรมโดยสามัญลักษณะ คือ เพ่งไตรลักษณ์นี้แหละเป็นสภาวธรรมทั้งหลาย เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว ก็จะได้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงที่เป็นตัววิปัสสนา”

(สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน) ธรรมกถาในการอบรมกรรมฐาน หน้า 47 – 48)

Update:

ขอบคุณทั้ง 4 ท่านที่ฝากความเห็นไว้ค่ะ

เรียนคุณ on-ces ค่ะ

หากฝึกกรรมฐานด้วยอานาปานสติครบทั้ง 16 ขั้น จะรวมไว้แล้วทั้งการเพ่งอารมณ์(ในฐานกาย)อันเป็นสมถะ และการเพ่งลักษณะ(คือตั้งแต่ฐานเวทนาไปจนฐานจิตและฐานธรรม)อันเป็นวิปัสสนา ก็จะเห็นการที่จิตค่อยๆละ คลายทั้งกิเลส อนุสัย และอุปาทาน

ดังนั้นหากช่วงใดที่มีปัจจัยให้เสื่อมจากสมาธิ ก็จะรับได้ตามที่คุณบอกค่ะ เนื่องจากรู้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เช่น บางช่วงที่มีงานจรเข้ามามาก หรือพยายามช่วยงานของผู้อื่นมาก หรือช่วงที่ท่านใช้คำว่า "แส่ส่ายอายตนะ" ไปรับอารมณ์มาก เช่น ดูหนัง ชอปปิ้ง มาก ก็มักจะเกิดนิวรณ์ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ยากกว่าปกติ เพราะจิตมักผูกพันกับสิ่งเหล่านั้น

หากรู้ปัจจัยแล้วก็จะยอมรับได้ ไม่เกิดทุกข์ขึ้นค่ะ เพราะทราบว่าที่เสื่อมจากสมาธิเพราะอะไร และถ้าหากอยากก้าวหน้า ก็ต้องลดปัจจัยดังกล่าว

ขอบพระคุณสำหรับคำตักเตือนที่มอบให้ก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ (ลืมแจ้งก่อนที่เรื่องที่บันทึกนั้นจะถูกนำเข้าสู่การโหวตค่ะ)

Update 2:

เรียน คุณ Sincere ค่ะ

ขอบคุณสำหรับความพยายามหาข้อมูลมาเพิ่มเติมค่ะ

เรียน คุณ Lantaman ค่ะ

ขอบคุณสำหรับความพยายามในการเขียนความเห็นค่ะ

6 Answers

Rating
  • 9 years ago
    Favorite Answer

    แหม! ก่อนอื่น ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ตำตอบต่อไปนี้อาจจะดูก้าวล้ำเกินไปหน่อยค่ะ

    เนื่องจาก พอได้อ่านคำถาม ที่ใช้คำว่า "สมุทัย" หรือ"อุปทาน" โดยรู้สึกว่าจะ weigh คุณค่าในระดับเท่าๆ กัน ใน 2 คำนี้ ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว "สมุทัย" ซึ่งก็คือ สาเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งประกอบด้วย ๗ ประการ อันได้แก่ เวทนา���ุกข์, วิบากทุกข์, กิเลสทุกข์, ตัณหาทุกข์, อุปทานทุกข์, สัญญาทุกข์ และ อวิชชาทุกข์ ก็จะเห็นว่า สาเหตุแห่งทุกข์ ในส่วนของ "อุปทาน" หรือ "อุปทานทุกข์" นั้น เป็นเพียง 1 ใน 7 สาเหตุเท่านั้นเอง

    สำหรับความหมายและตัวอย่างของการวิเคราะห์สาเหตุของทุกข์ ทั้ง 7 อย่าง ก็มีดังนี้ค่ะ

    1. เวทนาทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในอนิจจังแห่งเวทนา

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข พอสุขจางลง ก็รู้สึกเบื่อและเกิดความทุกข์ขึ้น

    2. วิบากทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในวิบากกรรมแต่หนหลังที่ต้องรับ

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข แต่กรรมทำให้ต้องท้องก่อนแต่ง ก็เกิดความทุกข์

    3. กิเลสทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในโทษแห่งกิเลส

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข แต่กิเลสอยากแต่งงานหรูๆ เหมือนคนอื่น จึงทุกข์

    4. ตัณหาทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในโทษแห่งความอยากเกินพอดีที่ไม่อาจหยุดได้

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข แต่ไม่หยุดหาคนใหม่ๆ จึงเกิดความทุกข์ขึ้น

    5. อุปทานทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในโทษแห่งความยึดมั่นถือมั่น

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข แต่ยึดมั่นหึงหวงคนรักของตน จึงร้อนรนเกิดทุกข์

    6. สัญญาทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในโทษแห่งสัญญา

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข แต่เห็นเขาไปคุยกับใคร ทันใดก็เกิดทุกข์ทันที

    7. อวิชชาทุกข์ คือ ทุกข์อันมีสาเหตุมาจากจิตไม่รู้แจ้งในท้ายที่สุดแห่งสรรพสิ่ง

    ยกตัวอย่าง เคยรักกันอย่างมีความสุข แต่คิดว่ารักคือเหตุแห่งสุข จึงทุกข์เพราะอาลัยรัก

    สรุปกระบวนการเกิดทุกข์ทั้ง ๗ ประการ

    คนทั่วไปทุกคนจะต้องพบกับ “เวทนาทุกข์” เท่าเทียมกัน คือ ความหวั่นไหวของเวทนาทางกายและใจ ก่อให้เกิด “ทุกขเวทนา” และ “โทมนัสเวทนา” นอกจากนี้แล้ว แต่ละบุคคลยังต้องรับผลกรรมในอดีตชาติที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รับ “วิบากทุกข์” ที่แตกต่างกันเพิ่มเติมเข้าไปอีก ไม่เพียงแต่ความหวั่นไหวของเวทนาตามธรรมชาติ และวิบากกรรมในอดีตเท่านั้น หากปัจจุบันบุคคลแต่ละบุคคลยังก่อกรรมใหม่ๆ ที่แตกต่างกัน กรรมปัจจุบันเหล่านี้ก็เป็นที่มาของความทุกข์ที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น กิเลส, ตัณหา, และอุปทาน สามประการนี้ แต่ละท่านมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจิตพกภาระมาเกิดมาน้อยแค่ไหน หากมีกิเลสมากก็ทุกข์มาก, มีกิเลสแล้วหยุดยั้งไม่ได้ ก็ก่อตัวเป็นตัณหา ก็เกิดทุกข์เพราะตัณหาเพิ่มขึ้นอีก และยิ่งหากมีตัณหาที่หยุดไมได้แล้ว ยังยึดมั่นถือมั่นว่าต้องไม่หยุด ต้องได้อย่างที่ใจหวังอีก ก็จะต้องรับทุกข์หนักเข้าไปอีก เป็นลำดับขั้นไป ไม่เพียงเท่านั้น บางท่านเคยทุกข์เพราะสิ่งเร้าใด ก็จดจำเป็นสัญญาไว้ว่าเป็นทุกข์ เมื่อได้รับสิ่งเร้าก็ต้องทุกข์ทันทีขึ้นมาอีก โดยไม่ทันเกิดการเปลี่ยนแปลงของเวทนาก่อน หรือเพราะวิบากกรรมก่อน หรือเพราะจิตมีกิเลส, ตัณหา, อุปทาน ก่อน เพียงแค่เห็นสิ่งเร้านั้น จิตก็ตกทุกข์ทันทีเพราะสัญญาจดจำไว้ว่าเป็นทุกข์ฝังใจอยู่นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว แม้นจะพ้นจากกระบวนการเกิดทุกข์ทั้งหมดมาได้ แต่หากยังไม่บรรลุธรรม ไม่รู้แจ้งในสรรพสิ่งแล้ว ก็ยังคงต้องเกิดทุกข์เพราะความไม่รู้นั้นอีกสำรับหนึ่งทับถมทวีคูณเข้าไป

    ค่ะ! แค่อ่านก็รู้สึกมีความสุขแล้วใช่มั๊ยคะ ยังมีอีกมากค่ะ ในเอกสารแนบ ท่านเขียนมาน่าอ่านมากเลยค่ะ..ขอบคุณค่ะ

  • on-ces
    Lv 5
    9 years ago

    โดยหลักคือ ดูว่าอาการยึดมากขึ้นหรือคลายลง

    อาการสำคัญไม่ใช่สมาธิเจริญหรือเสื่อม แต่เป็น"เสื่อมแล้วรับได้ตามจริงหรือไม่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง"

    ถูกไหมคะ

  • 9 years ago

    "ศาสนา ศิลป วิทยาศาสตร์ (กิ่ง ก้าน วิชา แตก+แยก/ แปลก+แยก) มาจากต้น (ไม้แห่งชีวิต: Genetic-code tree of interbeing life) เดียวกัน ~ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ -- "บางคนซุงทิ่มตาตัวเองไม่เห็น ยังปล้ำถอนกิงวิชาทิ่มตาคนอื่น" ~ จีซัส ไครส์ -- 55! สมาชิกอั้งยี่เราทุกคนเคยเป็น -- "บางคนเหมือนเอามือซุกอยู่ในชามข้าว ขี้เกียจเปิบเข้าปาก บางคนเหมือนบานพับประตู พับไปพับมาไม่ไปไหน" ~ จีซัสไครส์ -- 55! สมาชิกอั้งยี่เราทุกคนเคยเป็น

    เลยสมาธิ/ วิปัสนา/ ภาวนา [กำแหงใช้สมองสปีด 9 บิท/ วินาทีประดิษฐ์พิธีกรรม+IT-architect หลอก/ หลอน/ บังคับ/ กักขัง/ หน่วงเหนี่ยวจิต (ไบโอเรดิโอแอคทีฟ)] คือรีเซ็ทเทมเพลทชีวสติฟิลลิ่งลิ้งค์ ดาวโหลด 7 Applications บรรดาศาสดา 1. สื่อสาร Remetasyntaqmatism ไม่จำเป็นไม่พูด ถ้าจำเป็นก็พูดให้เห็นภาพด้วย อุปมา/ fables/ poking/ satirical joking -- 2. ถ่ายกำลังภายใน Self-healing (คืนชีพวรสังข์วิมังสา ไบโอโซล่าร์สเต็มเซลล์) 3. สร้างระบบเรียนรู้โรงเรียนป่า ไม่ล้างป่า ขุดดิน พังภูเขา/ สร้างวัดโบสถ์สุเหร่า (โซโลมอนสร้างตาม เดวิด สั่งเสีย 55! ได้เรียนรู้ว่า สายพันธุ์ตะบะบารีทำศึกแย่งตึกปูน) -- 4. ไม่แย่งชิง อิง+แอบ+เอี่ยว อำนาจรัฐ/ งบรัฐ Subsidies -- 5. VIP3 (Very Impersonal Person) ไม่มีมหกรรม PR/ Ad แสวงโหวด/ ระดมทุนสาธารณะ -- 6. ทุนคือ ISTEM กำไรคือไดนามิค ISTEM โดยแผ่สุขจริยาไม่อั้นปันส่วนกรุณาตามจำเป็น เพื่อค้นหาอาดัมเร้าเตอร์ที่ยังพอซ่อมได้ช่วยคืนชีพไดนามิค ISTEM = ทำงานพระเจ้า 7 สัปดาห์ ดีกว่าสวดขอพร 7 ปี = เก็บคลังสมบ้ติสูในสวรรค์ ที่มอดไม่กิน ไฟไม่ใหม้ โจรปล้นไม่ถึง -- 7. No convince -- "Convince (motivation, bargain, manipulation) ไดนามิควัฒนธรรมองค์กร Counteractive (ปรปักษ์สัมพันธุ์)" ~ สตีเฟ่น โควี่ -- 55! อั้งยี่เราเคยหันหลังให้ ศาสดา มิน่า! ไมเกรน ความดัน เบาหวาน Trauma มะเร็ง ฯลฯ Fragile-x-syndromes เข้าทรง!

    อิ! อิ! แจมเข้ามาในดงแฟนคลับ Aunty เป็นภาษาต่างดาว (อั้งยี่เราเรียก บาลียุคไบโอเน็ท ภาษาปะกิตเรียก Technobabble (ศัพท์เทคนิคเฉพาะทาง) ถ้าเป็นในโรงเรียน วิทยาลัย มหา'ลัย แต่ละกิ่งวิชาเรียก Jargon -- ก็มีประมาณ 200 คำศัพท์เฉพาะกิ่งวิชา ท่องไปท่องมาก็จบด๊อกเตอร์ -- บาลีไบโอเน็ทกลับตาละปัตร แบบ Pancake flip กับ Jargon ไปทางเดียวกันกับบาลีท่านสิทธัตถะ/ บาลีเปอร์เซียท่านโมฮัมหมัด ยิ่งท่องจำยิ่งดีแต่พูด-เทศน์เก-สวด แต่ Self-healing เกิดใหม่ไบโอโซล่าร์สเต็มเซลล์ แกร่งเอง (Autonomy) ไม่ได้ไดนามิคเน็ทเวิร์คอุปภัมภ์เกื้อหนุนทุ่นแรงรักแท้ปฏิสัมพันธยั่งยืนอิสระต่างพึ่งพา (Exponential interactive interdependencies = เสรีภาพแท้/ อริยะ/ เอาลิยะห์) ไม่เป็น (ตะบะบารีแก่กล้า <> กาลี+เทศะหนา <> ตนะ+มหา <> อุปาทาน <> จิตหลอน) -- 55! ท่านไสบาบาว่า "สะพานสวรรค์ขาด หลายพันปีแล้ว" -- เหลือแต่สะพานนรกมั๊ง? สวรรค์ก่อนตายกับหลังตายน่าจะไปร่องรางเดียวกันนะ -- ถ้าสวรรค์อยู่เชียงแสน นั่งรถไฟไปไปตายยะลา คงถึงสวรรค์ซินะ! -- หาเหตุแห่งสุขซิจ๊ะ จะพบวิถีสุข -- ไปดงสัปรดก็ได้กินสัปรด เข้าในดงตำแยก็โดนตำแย -- ภาษามีชีวิตนะจ๊ะ กิน IT วิถีไหนก็ชีวิตก็เป็นไปวิถีนั้น! -- "We're what we eat" William Shakespeare

    นับขั้นบันไดเวียนวนทุกข์ อุปาทาน [Ill+vision (วิชั่นป่วย] เรื้อรังจนจิตหลอน (Delusion) เหมือนเราก่อนนี้เลยแหละ -- ฝึกข้ามห้วงมหรรณพ Noetic chasm ไปเลย -- ถอดระหัส หุบโป้งชี้ว่างยกกลางนางก้อย อัง+ยี+ฮาร์ท ท่านสิทธัตถะซิจ๊ะ แทนค่าอริยสัตว์สวมหน้ากากหัวโขน ด้วยอริยสัตย์ 0 (Benign <> Benign neglect) คลิ๊ก HeartDrive ทางในพ้นทุกข์ Kinari EQ Ascension สู่โลกอุดรโดยตรง -- ไดนามิคมรรค/ วิถีบุญบารมี ความถี่ 0.04 -0.01 Hz ตีนอุ่นหัวเย็น ชีพจร 45-60 นิรโกรธา-วิมุติปัญญา-อภยากะตา Copacetic celestial memory reckoning path -- ดาวน์ลิ้งค์, คอมแพสชั่นลิ้งค์, ดิฟฟิวชั่นลิ้งค์ น้ำมันตะเกียงอาละดินยี่ห้อ Tao Fortune Wheel ดีท๊อกซ์น้ำมันตะเกียงอาลาดินปลอมยี่ห้อ Whale-head oil ขึ้นขมอง ขวางกั้นบุพเพสันนิวาส Eve/ Adam genetic code -- เกิดใหม่ 4.8 ล้านไบโอโซล่าสเต็มเซลล์/ วัน = ปลอดโรคไร้ปัญหา = ไดนามิคเน็ทเวิร์ครักแท้ทุ่นแรงอุปถัมภค้ำชู ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน = ใช้ชีวิตสุขาวดีบนดิน

    55! เรียบง่าย (ไม่มักง่าย) คืออำนาจ" ~ เล่า จื่อ -- "มีแค่ 2 พลาด ที่คนจะทำได้บนถนน (สกายเวย์พ้นทุกข์)นี้ 1. ไม่ขึ้น 2. ขึ้นแล้วไม่ไปให้ตลอด -- "ในบรรดา 73 กลุ่ม (ก๊ก/ แก๊ง/ หมู่/ เหล่า) ที่มุ่งไปขวา [ทักษิณาวัตรกายพลังงาน Righteous archimedean spirals ยามคิดพูดทำ ทุกสถานการณ์] มีกลุ่มเดียวไปตลอด" ~ โมฮัมหมัด

    ฝึกรีไดเร็ค เข็มทิศจิต อินติเกรต ISTEM personal capital ซิจ๊ะ -- ความรู้ คืออำนาจประกอบการ ใฝ่ฝึกไฮบริดเอกภพ(ภาวะ)องค์กู+องค์กรกงสีอัง+ยี+ฮาร์ท คืออำนาจประกอบกู -- ฝึกกูเกิดใหม่ตัวในเดินหน้า หาความรู้ตามหลัง -- ถ้าหาความรู้เดินหน้า "ความรู้ทำให้โหยหิวความรู้ (กูไม่สมประกอบ)" ~ เล่า จื่อ -- โคลงโลกคณิต (คณะ+จิต) ว่า "ความรู้อาจเรียนทันกันหมด (ไม่ต้องไปแย่งซื้อแย่งสอบ คนดีมีวิชามาเยือนถึงเรือนชาน) เว้นแต่ชั่ว/ ดีกระด้าง (กริดล๊อคนี่สิ) ห่อนแก้ฤาไหว?"

    "ความรู้ [Premodified (primordial) precient] ของ The Noble (gas) Self (WiFi 6-simultaneous-senses modus vivendi (กายทิพย์/ กายพลังงาน/ กายอาคีรัต) เกินความรู้ (เรียงความ) ลำดับเหตุผล บรรดา สกอร์ล่า และ นักปรัชญา" ~ สิทธัตถะ -- และ "(ทางออก) ไม่ใช่ท่องคำภีร์บทเดิมๆ ซ้ำซาก (= ภายเรือวนอ่างซุปอักษร: Alphabet soup/ IT-archtect เก่า)" ~ จีซัส ไครส์ -- เพราะ "เราคิดความคิดเราเอง [วนอดีต/ ทวนความหลัง (ติดกริดล๊อค Orthodox 5 เคย (เคยรู้ เคยคิด เคยเชื่อ เคยชอบ เคยชิน)]" ~ สิทธัตถะ

  • 9 years ago

    สมาธฺของตัวเราครับ

  • How do you think about the answers? You can sign in to vote the answer.
  • 9 years ago

    แวะมาหาความรู้ด้านธรรม

  • 9 years ago

    สาธุ ขอบคุณมากครับ เข้าใจมากขึ้นแล้วครับ

Still have questions? Get your answers by asking now.