Yahoo Answers is shutting down on May 4th, 2021 (Eastern Time) and beginning April 20th, 2021 (Eastern Time) the Yahoo Answers website will be in read-only mode. There will be no changes to other Yahoo properties or services, or your Yahoo account. You can find more information about the Yahoo Answers shutdown and how to download your data on this help page.
Trending News
นํ้ามันปลากับนํ้ามันตับปลาแตกต่างกันอย่างไร และมีประโยชน์อะไรต่อร่างกาย?
ผมกำลังเข้าสู่วัยที่จำเป็นจะต้องสรรหาสิ่งดีๆให้แก่ร่างกายเพิ่มเติมบ้างแล้วล่ะครับ แต่พอคิดจะเลือกหามารับประทานบ้างก็ปวดหัวหนักซะแล้ว เพราะมีคนมากมายแนะนำให้หาซื้อ "นํ้ามันตับปลา" (Cod Liver Oil) มาบำรุงร่างกาย แต่ก็ดันไปเจอ "นํ้ามันปลา" (Fish Oil) เข้าไปอีก เลยงงไปกันใหญ่ว่าอะไรกันแน่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราได้ดีกว่ากัน
"นํ้ามันตับปลา" (Cod Liver Oil) และ "นํ้ามันปลา" (Fish Oil) มันคืออะไร ผลิตมาจากอะไร แล้วมันมีสรรพคุณด้านไหนที่สามารถช่วยบำรุงร่างกายของคนเราได้บ้าง ที่สำคัญอยากรู้จริงๆว่านํ้ามันทั้งสองชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารที่จะให้สารหรือวิตามินอะไรแก่ร่างกาย???
ใครพอจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ก็ช่วยมาแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆให้แก่กันและกันในโอกาสนี้ด้วยเถอะครับ จะได้กุศลที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เพราะผมเชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายๆท่านที่ใคร่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แบบเดียวกับผมอยู่บ้างเป็นแน่
สาธุ...สาธุ
1 Answer
- เอกLv 710 years agoFavorite Answer
• น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) สกัดจากตับของปลาทะเล เช่นปลาคอด แฮลิบัท เฮอร์ริ่ง นิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีวิตามินดี ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมรวมทั้ง ฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ
น้ำมันตับปลานั้นส่วนใหญ่จะมีปริมาณวิตามิน เอ และดี ในปริมาณที่สูง และได้น้ำมันด้วย หากได้รับวิตามินเกินขนาด โดยเฉพาะวิตามินเอและดี ก็อาจเกิดพิษจากการสะสมวิตามินเกินความจำเป็น โดยมีอาการความดันในสมองสูง ปวดศีรษะ หิวน้ำ และปัสสาวะบ่อย ฯลฯ เป็นผลข้างเคียง ที่เกิดจากการรับประทานเกินขนาด
• น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหางปลาทะเล อาทิ ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันปลามีกรดไขมันที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ โดยเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated Fatty Acid) หรือ PUFA 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า3 คือ
- Eicosapentaenoic acid (EPA)
- Docosahexaenoic acid (DHA)
สำหรับประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า3 ในทางการแพทย์คือ สามารถลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด (ใช้ในปริมาณสูงถึง 2 กรัมต่อวัน)
การใช้ลดการอักเสบในคนไข้โรครูมาตอยด์ที่มีอาการปวดข้อ การใช้เพื่อลดอาการคันและอักเสบในคนไข้โรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีอาการอักเสบร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงประโยชน์ของ DHA กับการพัฒนาสมองและดวงตา โดยมีการนำ DHA ไปเสริมในนมสำหรับทารก หรือหญิงมีครรภ์ การใช้ในโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ที่พบในผู้สูงอายุ
จะปลาเล็ก..ปลาน้อย..ปลาตัวโต หากเรารับประทานปลาเป็นประจำ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจหรือไขมันอุดตันก็จะน้อยกว่าคนทั่วไป ที��สำคัญ ยังมีผลวิจัยว่าสาร DHA มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะในส่วนของความจำ และการเรียนรู้ เพราะสาร DHA จะเข้าไปเสริมสร้างความเจริญเติบโต ของปลายประสาทที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องซื้อปลาแพง ๆ มารับประทาน เพราะแค่ปลาสด ๆ ที่วางขายในตลาดแถวบ้าน เช่น ปลาทู ปลาตะเพียน ก็มีสารอาหารเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว
รับประทานน้ำมันปลาอย่างไรจึงจะปลอดภัย
1. บุคคลทั่วไป ควรรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งอาหารที่มีกรด alpha – linolenic acid สูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดธัญญพืช เต้าหู้ เป็นต้น
2. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรรับประทานน้ำมันปลา ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
3. ผู้ป่วยที่ต้องการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควรรับประทานวันละ 2 – 4 กรัม
* ก่อนตัดสินใจรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย และพึงระวังว่าการรับประทานน้ำมันปลาขนาดสูง อาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลง
ควรทานดีหรือไม่ ?
อาหารเสริม คือ อาหารที่เสริมนอกเหนือจากอาหารมื้อหลักของเรา ส่วนใหญ่ใช้ในคนที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
แต่ถ้ารับประทานอาหารเพียงพอ และครบถ้วนแล้ว การทานอาหารเสริมก็ไม่จำเป็น (ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆ)
ในการสร้างเซลสมอง ร่างกายจำเป็นที่จะต้องใช้ไขมัน 2 ชนิดคือ Omega-3 และ DHA ซึ่งพบมากในน้ำมันปลา (และในอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด) แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ DHA เพื่อสร้างเซลสมองต่อไป
ซึ่งกระบวนการสร้างเซลสมองนี้ เกิดขึ้นในช่วงเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ (สมอง เติบโตช่วงทารก - 5 ขวบ ส่วนหัวใจ เติบโตช่วงทารก - 20 ปี) ดังนั้นคนที่อายุมากกว่านี้ กินไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก (แต่อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยลดไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ)
ส่วนใหญ่จะใช้บำรุงเด็กเล็กๆ หรือตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยในอาหารเด็กหลายยี่��้อ จะมีการผสมน้ำมันปลาลงไปด้วย
แต่จากการศึกษาพบว่า น้ำมันปลามีส่วนช่วยเรื่องความจำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้เด็กฉลาดกว่าปกติแต่อย่างใด และในเด็กเล็กๆ บางคนที่ไม่แข็งแรงก็อาจแพ้สารพิษจากน้ำมันปลาได้
สมองที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงครับ ฉะนั้นทำร่างกายเราให้แข็งแรง ทานอาหารเพียงพอและครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อที่ไหน จากนั้นเรื่องความจำและสมอง ให้หมั่นคิดบ่อยๆ ทำแบบฝึกหัด ยิ่งทำเยอะ ยิ่งเข้าใจ อ่านหนังสือ ไม่มีอะไรเกินความพยายาม